วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

Olympus PEN Lite E-PL7



         PEN Lite E-PL7 เป็นกล้องเซลฟีสุดยอด ให้การถ่ายเซลฟีเป็นเรื่องง่ายๆ ด้วยหน้าจอสัมผัสพลิกลง และโหมดเซลฟีเพื่อสร้างสุดยอดเซลฟีในทุกๆครั้ง เซลฟีสามารถถ่ายได้อย่างง่ายดายผ่านทางหน้าจอสัมผัส หรือปุ่มชัตเตอร์และเมื่อใช้กับช่วงของเลนส์ Olympus E-PL7 ใช้เซลฟีไปยังระดับใหม่ รูปถ่ายนั้นจะสามารถถ่ายโอนไปยังอุปกรณ์สมาร์ทด้วย Wi-Fi ในตัว ช่วยให้คุณสามารถแบ่งปันทุกอย่างกับเพื่อนและครอบครัว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ olympus pen e-pl7

Touch Selfie



       PEN Lite E-PL7 เป็นกล้องเซลฟีสุดยอด ให้การถ่ายเซลฟีเป็นเรื่องง่ายๆ ด้วยหน้าจอสัมผัสพลิกลง และโหมดเซลฟีเพื่อสร้างสุดยอดเซลฟีในทุกๆครั้ง เซลฟีสามารถถ่ายได้อย่างง่ายดายผ่านทางหน้าจอสัมผัส หรือปุ่มชัตเตอร์และเมื่อใช้กับช่วงของเลนส์ Olympus E-PL7 ใช้เซลฟีไปยังระดับใหม่ รูปถ่ายนั้นจะสามารถถ่ายโอนไปยังอุปกรณ์สมาร์ทด้วย Wi-Fi ในตัว ช่วยให้คุณสามารถแบ่งปันทุกอย่างกับเพื่อนและครอบครัว

การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ชาญฉลาด


       แบ่งปันภาพที่มีคุณภาพสูงบน social networks หรือควบคุมกล้องของคุณระยะไกลกับอุปกรณ์สมาร์ทของคุณร่วมกับ Wi-Fi ในตัวกล้อง Olympus Image Share app E-PL7 เป็นรุ่นแรกในซีรีส์ PEN Lite ที่มี Wi-Fi ในตัว มันทำให้การถ่ายภาพสนุกมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

Art Filters พัฒนา photographic expression ให้กับคุณ


       เพื่อพัฒนาทักษะการถ่ายภาพให้กับคุณ E-PL7 มี Art Filter แบบใหม่เพิ่มอีกสองแบบ Vintage และ Partial Colour นอกจากนี้ Effect ใหม่ใน E-PL7 Shade Effect ที่เพิ่มเส้นสาย และเงามืดที่ด้านล่างด้านบน ด้านซ้ายและขวาให้กับภาพของคุณ

เทคโนโลยีชั้นนำใหม่ล่าสุดให้การถ่ายภาพได้อย่างแม่นยำในทุกช่วงเวลา


       E-PL7 เต็มไปด้วยเทคโนโลยีการถ่ายภาพอย่างมากมายที่โดดเด่น ให้การถ่ายภาพในช่วงเวลาที่คุณต้องการได้อย่างแม่นยำ เซ็นเซอร์ไวแสงสูง Live MOS ความละเอียด 16.05 ล้านพิกเซล พร้อมซิพประมวลผมใหม่ TruePic VII สำหรับการประมวลภาพ ก่ายถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงที่ 8.0 fps และระบบป้องกันการสั่นภายในกล้อง ซึ่งให้กาชดเชยการสั่นได้กับเลนส์ทุกตัวที่ใช้งานร่วม

สีสันและการออกแบบ


       ด้วยเส้นสายที่เป็น character เฉพาะตัวอันโดนเด่นตลอดตัวบอดี้ด้านบน ที่มีความเป็นตัวตนของกล้อง PEN โลโก้ OLYMPUS PEN แบบดั่งเดิมเหมือนในอดีต การใช้วัสดุชั้นดีเป็นโครงสร้างบอดี้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการออกแบบที่เป็น Premium design ของ E-PL7

คุณสมบัติอื่น ๆ


-สุดยอด iAUTO ตรวจพบว่าวัตถุเคลื่อนที่โดยอัตโนมัติและเลือกการตั้งค่าที่เหมาะสมที่สุด
-Photo Story ช่วยให้คุณถ่ายภาพหลายภาพในภาพเดียวในการสร้างเรื่องราวของคุณผ่านภาพถ่าย
-Live Guide ช่วยให้คุณสามารถถ่ายภาพตรงตามที่คุณจินตนาการได้โดยไม่ต้องเรียนรู้ภาษาการถ่ายภาพ
-โหมดการแพนภาพ (Panning Mode )ใหม่ช่วยให้คุณถ่ายภาพแบบแพนกล้องได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องตั้งค่ากล้องที่ยากลำบากใด ๆ
-เอฟเฟกฟิล์มเก่า (Old Film)ของภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่ทำให้วิดีโอของคุณมีลักษณะเหมือนหนังเก่า
-Live Composite ทำให้การถ่ายภาพแบบการเปิดรับแสงนานเรื่องง่าย เหมือนเมื่อถ่ายภาพเส้นทางดาว
-โหมด Live Bulb ช่วยให้คุณสามารถเช็คความคืบหน้าของการเปิดรับแสงไฟที่ถูกบันทึกในแบบ Live View
-แบตเตอรี่ธียมไอออนใหม่ที่ความจุเพิ่มขึ้น
-Olympus Underwater shooting gears ให้คุณเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพใต้น้ำที่แท้จริง

ที่มา:http://www.olympusimaging-th.com/product/dslr/epl7/index.html

Paint


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ paint netโปรแกรม

Paint.NET: สำหรับโปรแกรมนี้มีชื่อว่า โปรแกรม Paint.NET ถ้าหากเรานึกถึง โปรแกรมแต่งรูป หรือ โปรแกรมตกแต่งภาพที่มากับเครื่องใครๆ ก็คงนึงถึง โปรแกรม Paint (หรือชื่อเก่า PaintBrush) ที่มากับระบบปฏิบัติการ MS.Windows นั่นเองแต่ว่าในส่วนของ โปรแกรมแต่งรูป ตัวที่ท่าน กำลังจะดาวน์โหลดนี้มีดีกว่านั้นมากๆ ความสามารถเยอะกว่าเพียบ เพราะว่า นอกจากขนาดจะเล็กๆ น่ารักๆ แล้ว ฟังก์ชั่นการทำงานเรียกได้ว่าน้องๆ โปรแกรม Photoshop เลยทีเดียว ทั้งการแต่งภาพก็ดี หรือแม้แต่มัน ยังทำตัวเป็น โปรแกรมวาดรูป เล็กๆ ง่ายๆ ที่สามารถปรับแต่งต่างๆ ได้ครบถ้วน แถมยังเร็วซะด้วย เหมาะสำหรับ คนที่ไม่ถนัดใช้โปรแกรม Photoshop แต่อยากตกแต่งแค่ภาพเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อย

 Program Features


-เป็นโปรแกรมแต่งรูป ที่มีขนาดเล็กมากๆ (ขนาดไม่ถึง 10 MB.)
-ใช้งานง่าย มีหน้าตาคล้ายโปรแกรมต้นตำรับอย่าง โปรแกรม Paint ที่มากับวินโดวส์
-สามารถจัดการทำเลเยอร์ (Layer) บริหารจัดการ การแต่งรูปภาพได้แบบลำดับชั้น เพื่อความสะดวก และ -ง่ายต่อการแก้ไขรูปภาพ ได้แบบโปรแกรมแต่งรูป ชื่อดังอย่าง Photoshop
-สามารถวาดส่วนโค้ง เว้า งง ได้ง่ายๆ มีเครื่องมือที่จะคอยช่วยสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา เช่นการขยายภาพเข้าออก เพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน ละเอียดขึ้น
-มีกลุ่มสนทนาเป็นของตัวเอง ที่มีคนคอยตอบคำถาม ไขข้อสงสัยอยู่ตลอดเวลา
-มีระบบอัพเดทโปรแกรมเวอร์ชั่นใหม่แบบอัตโนมัติ ไม่ต้องมาดาวน์โหลดจากเว็บให้เสียเวลา
-สามารถเก็บประวัติการแก้ไขรูปภาพ การแต่งรูปภาพ หรือที่เรียกว่า History ได้อย่างละเอียดทุกขั้นตอน -หากทำอะไรผิดพลาดย้อนหลังกลับไปเอาของเก่าได้เลย และที่สำคัญ สามารถเก็บประวัติดังกล่าวย้อนหลังได้แบบไม่จำกัด
-สามารถใส่ลูกเล่นพิเศษ (Special Effects) ในโปรแกรมได้หลากหลายรูปแบบ (ดูตัวอย่างจากรูปรถด้านล่าง)
-มีความสามารถในการปรับเม้าส์ให้สามารถใช้วาดรูปได้เป็นอย่างดี ดูสมูท (Smooth) แลไหลลื่นดีขึ้น
-สามารถสร้าง หรือ ออกแบบรูปทรงต่างๆ เอาไว้วาดใช้งานเองได้ (Custom Shape)
-สามารถปรับขนาดของแปรง (Brush Size) ไปได้สูงสุดถึง 2,000 ซึ่งถือว่าใหญ่มากๆ
-สนับสนุนการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 8 และ Windows 10 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และความสามารถอื่นๆ อีกมากมาย

ที่มา:http://software.thaiware.com/10105-Paint-NET-Download.html

Format Factory

         Format Factory คือโปรแกรมแปลงไฟล์ที่สามารถแปลงไฟล์ได้อย่างรวดเร็วง่ายดาย สามารถแปลงไฟล์ได้มากมายหลากหลายนามสกุล ไม่ว่าจะเป็นไฟล์วิดีโอไฟล์หนัง MP4/3GP/MPG/AVI/WMV/FLV/SWF หรือจะเป็นไฟล์เสียงไฟล์เพลง MP3/WMA/AMR/OGG/AAC/WAV. หรือจะเป็นไฟล์รูป JPG/BMP/PNG/TIF/ICO/GIF/TGA. โปรแกรม Format Factory ก็สามารถทำได้

        อีกทั้งยังสามารถแปลงไฟล์หนัง ไฟล์เพลงต่างๆให้สามารถเล่นบนสมาร์ทโฟนรุ่นต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม เช่น iPod/iPhone/PSP/BlackBerry อีกหนึ่งความสามารถของโปรแกรมนี้ก็คือสามารถ Rip DVD to video file , Rip Music CD to audio file. ถือว่าเป็นโปรแกรมที่ครบครันสมฉายาโปรแกรมแปลงไฟล์ครอบจักรวาล โปรแกรมนี้ค่อนข้างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งครับ

Provides functions below:
All to MP4/3GP/MPG/AVI/WMV/FLV/SWF.
All to MP3/WMA/AMR/OGG/AAC/WAV.
All to JPG/BMP/PNG/TIF/ICO/GIF/TGA.
Rip DVD to video file , Rip Music CD to audio file.
MP4 files support iPod/iPhone/PSP/BlackBerry format.
Supports RMVB,Watermark, AV Mux.Format Factory’s Feature:
1 support converting all popular video,audio,picture formats to others.
2 Repair damaged video and audio file.
3 Reducing Multimedia file size.
4 Support iphone,ipod multimedia file formats.
5 Picture converting supports Zoom,Rotate/Flip,tags.
6 DVD Ripper.
7 Supports 62 languages


ระบบปฏิบัติการ : Windows XP/ Vista / 7 / Windows 8 and 8.1
ผู้พัฒนา : PC Free Time
License : Freeware
ภาษา : Multilingual
ขนาด : 45 MB
ประเภทไฟล์ : RAR
เวอร์ชั่น : 3.9.5.0
รหัสผ่าน : ไม่มี
ผู้อัพโหลด : MTS0ft
สถานะ : ทดสอบแล้ว
ยาแก้ไอ : ไม่มี
วิธีการติดตั้ง : ไม่มี
ปรับปรุงเมื่อ : 18/7/2016
Download : Here

ที่มา:https://www.mawtoload.com/format-factory-3-thai-one2up/

วิธีการใช้งานเครื่องมือ โปรแกรม Ulead Video Studio เบื้องต้น

         Ulead นั้นก็สามารถที่จะจับภาพแบบ analog ได้เช่นกัน ในกรณีนี้ คุณจะต้องหาการ์ดจับภาพเช่นการ์ดรับโทรทัศน์ที่เป็นแบบ analog มาใช้งาน การใช้งานนั้นก็เหมือนกับการ firewire


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โปรแกรม ulead

โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Ulead VideoStudio

1. Step Panel
กลุ่มของปุ่มที่ใช้สลับไปมาในขั้นตอนต่างๆ ของการตัดต่อวีดีโอ เช่น ต้องการจับภาพจากกล้องวีดีโอก็คลิกปุ่ม Capture หากต้องการแก้ไข/ตัดต่อวีดีโอ คลิกปุ่ม Edit ต้องการใส่ข้อความในวีดีโอ คลิกปุ่ม Title เป็นต้น

2. Menu Bar
แถบเมนูของชุดคำสั่งต่างๆ เช่น สร้างโครงการใหม่ เปิดโครงการ บันทึกโครงการ เป็นต้น

3. Options Panel
ส่วนนี้จะมี ปุ่มและข้อมูลอื่นๆ ที่ให้คุณได้ปรับแต่งคลิปที่คุณเลือกไว้ ฟังชั่นก์ต่างๆ ในส่วนนี้จะเปลี่ยนไปตามขั้นตอนที่คุณกำลังทำงานอยู่ เช่น คุณเลือกคลิปวีดีโอ ก็จะมีฟังก์ชั่นต่างๆ สำหรับจัดการกับคลิปวีดีโอ หรือคุณเลือกเสียง ก็จะมีฟังก์ชั่นสำหรับการจัดการเรื่องเสียง เป็นต้น

4. Preview Window
หน้าต่างแสดงคลิปปัจจุบัน, ตัวกรองวีดีโอ, เอฟเฟ็กต์, หรือตัวหนังสือ ต้องการดูผลลัพธ์ของการตัดต่อต่างๆ สามารถดูได้ในหน้าต่างนี้

5. Navigation Panel
มีปุ่มสำหรับเล่นคลิปวีดีโอและสำหรับตัดวีดีโอ ในขั้นตอนการจับภาพ, ส่วนนี้จะทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ควบคุมกล้องวีดีโอ เช่น เล่นวีดีโอ หยุด หยุดชั่วขณะ กรอไปข้างหน้า กรอกลับ เป็นต้น

6. Library
เก็บและรวบรวมทุกอย่างไว้ ไม่ว่าจะเป็น วีดีโอ, เสียง, ภาพนิ่ง, เอฟเฟ็กต์ต่างๆ เป็นต้น ทำให้สะดวกในการเรียกใช้งาน

7. Timeline
แสดงคลิป, ตัวหนังสือและเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ที่อยู่ในโครงการ

Step Panel

ส่วนนี้เป็นส่วนของขั้นตอนต่างๆ ในการตัดต่อวีดีโอ ขั้นตอนเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องทำทุกขั้นตอน หรือข้ามขั้นตอนใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดต่อวีดีโอของคุณเอง

ขั้นตอนตัดต่อคือ


1.Capture (จับภาพจากกล้อง/ดึงข้อมูลวีดีโอจากแผ่น CD/DVD)

2.Edit (แก้ไข/ตัดต่อ)

3.Effect (ใส่เอ็ฟเฟ็กต์)

4.Overlay (ทำภาพซ้อน)

5.Title (ใส่ตัวหนังสือ)

6.Audio (ใส่ดนตรีประกอบ/บันทึกเสียงบรรยาย)

7.Share (บันทึกวีดีโอที่ตัดต่อแล้ว ลงสื่อต่างๆ)

ขั้นตอนต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น สามารถข้ามไปยังส่วนอื่นได้ เช่น อาจจะไปใส่ดนตรีประกอบก่อน แล้วมาใส่ตัวหนังสือภายหลังก็ได้ หรือเมื่อตัดต่อเสร็จในข้อ 2 แล้วก็อาจจะไปเลือกข้อ 7 เพื่อเขียนลงแผ่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำครบทุกขั้นตอน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตัดต่อวีดีโออย่างไร และต้องทำอะไรบ้างในการตัดต่อ

ขั้นตอนต่างๆ ในการตัดต่อวีดีโอ


เมื่อเปิด project ใน Ulead แล้ว ในขั้นตอน Capture นี้ คุณสามารถที่จะบันทึกวีดีโอจากกล้องวีดีโอดิจิตอลเป็นไฟล์ลงในคอมพิวเตอร์ได้ วีดีโอที่บันทึกจากกล้องลงคอมพิวเตอร์นั้น สามารถที่จะบันทึกเป็นไฟล์เพียงไฟล์เดียว หรือให้แยกเป็นไฟล์ได้หลายๆ ไฟล์โดยอัตโนมัติ และในขั้นตอนการจับภาพนี้ นอกจากคุณจับภาพวีดีโอแล้วยังสามารถที่จะบันทึกภาพจากวีดีโอเป็นภาพนิ่งได้อีกด้วย

ขั้นตอนการแก้ไขและ Timeline นี้ เป็นจุดสำคัญของการใช้ Ulead VideoStudio ในขั้นตอนนี้คุณสามารถที่จะเรียงลำดับคลิปวีดีโอ ที่ถ่ายมาแต่ไม่ได้เรียงลำดับเหตุการณ์กัน ก็มาเรียงลำดับเหตุการณ์ในขั้นตอนนี้ หรือแทรกคลิปวีดีโออื่นๆ เข้ามาในกระบวนการตัดต่อ เช่น หลังจากที่คุณจับภาพมาจากกล้องแล้ว เห็นว่าคลิปวีดีโอที่มีอยู่ในเครื่อง เหมาะสม น่าที่จะนำมาแทรกในบางช่วงของวีดีโอที่คุณกำลังตัดต่อ ก็สามารถทำได้ กรณีที่มีคลิปวีดีโอเพียงไฟล์เดียว เช่น จับภาพวีดีโอมาเป็นไฟล์เดียว ไม่ได้แยกไฟล์เป็นหลายๆ ส่วน ก็สามารถตัดแยก scene วีดีโอได้ เพื่อใส่เอ็ฟเฟ็กต์ระหว่าง scene ลบคลิปวีดีโอที่ไม่ต้องการออก ตัดคลิปวีดีโอบางส่วนที่ถ่ายเสียหรือไม่ต้องการออก และการใส่วีดีโอฟิลเตอร์ (เช่น การใส่ตัวฟิลเตอร์ฝนตกในคลิปวีดีโอ ทำให้คลิปวีดีโอนั้นดูเหมือนมีฝนตกจริงๆ ) ก็สามารถทำได้ในขั้นตอนนี้เช่นกัน

ในขั้นตอนนี้ ให้คุณสามารถใส่ทรานสิชั่น (transition) ระหว่างคลิปวีดีโอใน project ซึ่งใน Ulead นี้จะมีกลุ่มของทรานสิชั่นต่างๆ ให้เลือกอย่างมากมายใน Library

ทรานสิชั่น เป็นเอ็ฟเฟ็กต์ที่ใส่ไว้ในระหว่างคลิป ทำให้วีดีโอดูน่าสนใจยิ่งขึ้น เช่น ฉากที่ค่อยๆ จางหายไปจนมืด แล้วก็มีฉากถัดไปที่จางแล้วค่อยๆ ชัดเจนขึ้น หรือ ในระหว่างที่มีการเปลี่ยนฉากนั้น จะมีภาพซ้อนกันของทั้งสองฉาก เป็นต้น นี่เป็นการใส่ทรานสิชั่นนั่นเอง

ขั้นตอนนี้เป็นการซ้อนคลิปวีดีโอบนคลิปวีดีโอที่มีอยู่ เหมือนกับที่เราดูโทรทัศน์ ที่มีการสัมภาษณ์บุคคลเกี่ยวกับดารา แล้วก็มีกรอบเล็กๆ เป็นภาพของดาราที่กำลังดูบุคคลอื่นพูดถึงตนเองอยู่

ใส่ตัวหนังสือในวีดีโอ เช่น ชื่อเรื่องวีดีโอ แสดงชื่อบุคคล หรือตัวหนังสือปิดท้ายวีดีโอ ใครถ่ายทำ ถ่ายเมื่อไหร่ ที่ไหน เป็นต้น สามารถที่จะสร้างตัวหนังสือแบบเคลื่อนไหวได้ มีมากมากหลายแบบ เช่น ตัวหนังสือลอยจากจอภาพด้านล่างขึ้นไปด้านบน เหมือนกับตัวหนังสือเมื่อดูภาพยนตร์ตอนจบ หรือจะวิ่งจากด้านขวามือมาซ้ายมือ หรือจะเลือกชุดสำเร็จรูปจาก Library ก็ได้

ขั้นตอนนี้สำหรับใส่ดนตรีประกอบวีดีโอ สามารถเลือกเพลงจากแผ่น CD แล้วบันทึกมาเป็นไฟล์ทำดนตรีประกอบได้ บันทึกเสียงบรรยายวีดีโอ รวมทั้งการปรับแต่งเสียงต่างๆ เช่น ลดเสียงในวีดีโอต้นฉบับในบางช่วงขณะที่บันทึกเสียงบรรยายลงไป เพื่อให้ได้ยินเสียงบรรยายชัดเจนมากยิ่งขึ้น หรือปรับระดับเสียงของดนตรีประกอบ เป็นต้น

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อตัดต่อวีดีโอเสร็จแล้ว ก็จะเป็นสร้างไฟล์วีดีโอสำหรับเผยแพร่ผลงาน สามารถทำได้หลายแบบ เช่น สร้างไฟล์วีดีโอสำหรับเผยแพร่ผลงานบนเว็บ เขียนวีดีโอที่ตัดต่อเสร็จแล้วกลับลงเทปอีกครั้ง เขียนลงแผ่น CD เป็น VCD หรือเขียนลง DVD

ที่มา:http://ponpimonnamdee.blogspot.com/p/ulead-video-studio_28.html



วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ความหมาย ระบบการโอนถ่ายข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางหรือปลายทางโดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ โทรสาร โมเด็ม คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เครือข่ายต่างๆ ดาวเทียม ควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง

องค์ประกอบระบบสื่อสารข้อมูล

สำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.ข่าวสาร (Message) เป็นข้อมูลรูปแบบต่างๆ
2.ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender)
3.สื่อหรือตัวกลาง (Media) เป็นสื่อหรือช่องทาง ที่ใช้ในการนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง
4.ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver)
5.กฎ ข้อตกลง ระเบียบวิธีการรับส่ง(protocol)

สื่อหรือตัวกลางของระบบสื่อสารข้อมูล

สำหรับคอมพิวเตอร์
1.สื่อหรือตัวกลางประเภทมีสาย
1.1 สายคู่บิดเกลียว (twisted pair) มี 2 ชนิด คือ
– สายคู่บิดเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม (Unshielded Twisted Pair : UTP)
– สายคู่บิดเกลียวมีฉนวนหุ้ม (Shielded Twisted Pair : STP)
1.2 สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) เป็นสื่อกลางที่มีส่วนของสายส่งข้อมูล
เป็นลวดทองแดงอยู่ตรงกลาง หุ้มด้วยพลาสติก ส่วนชั้นนอกหุ้มด้วยโลหะ
หรือฟอยล์ถักเป็นร่างแหเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
1.3 สายใยแก้วนำแสง (Fiber-optic cable) เป็นสื่อกลางที่ใช้ส่งข้อมูล
ในรูปแบบของแสง

2.สื่อหรือตัวกลางประเภทไร้สาย
2.1 คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) เป็นสื่อกลางในการสื่อสารที่มีความเร็วสูง
ส่งข้อมูลโดยอาศัยสัญญาณไมโครเวฟซึ่งเป็นสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เหมาะกับการส่งข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลกันมากๆ หรือพื้นที่ทุรกันดาร
2.2 ดาวเทียม (Satellite) ในการส่งสัญญาณดาวเทียมนั้น จะต้องมีสถานี
ภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณขึ้นไปบนดาวเทียม
2.3 แอคเซสพอยต์ (Access Point)

ความหมายเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศ รวมถึงใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ร่วมกัน

ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

1. การใช้ทรัพยากรร่วมกัน (Resources Sharing) หมายถึง การใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ร่วมกัน
2. การแชร์ไฟล์ เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกติดตั้งเป็นระบบเน็ตเวิร์กแล้ว การใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกันหรือการแลกเปลี่ยนไฟล์ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
3. สามารถบริหารจัดการทำงานคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management)
4. สามารถทำการสื่อสารกันในเครือข่าย (Communication) ได้หลายรูปแบบ
5. มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบนเครือข่าย (Network Security)

ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

1. เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN)

2. เครือข่ายเมือง (Metropolises Area Network :MAN)

3. เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network : WAN)

4. เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)

รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย

network topology
1.การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบัส (bus network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องบนสายสัญญาณหลักเส้นเดียว ที่ปลายทั้งสองด้านปิดด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Terminator ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องใด เครื่องหนึ่ง เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์เครื่องใดหยุดทำงาน ก็ไม่มีผลกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย การรับส่งสัญญาณบนสายสัญญาณต้องตรวจสอบสายสัญญาณ BUS ให้ว่างก่อน จึงจะสามารถส่งสัญญาณไปบนสาย BUS ได้
2. การเชื่อต่อเครือข่ายแบบวงแหวน (ring network) การเชื่อมต่อแบบวงแหวน เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จนครบวงจร ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่ง ไปสู่เครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
3. การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบดาว (Star network) เป็นการเชื่อมต่อสายสื่อสารจากคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องไปยังฮับ (hub) หรือ สวิตช์ (switch) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สลับสายกลางแบบจุดต่อจุดเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ติดต่อสื่อสารถึงกัน
4. เครือข่ายแบบ Hybrid เป็นการเชื่อมต่อที่ผสมผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน เช่น นำเอาเครือข่ายระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับบางหน่วยงานที่มีเครือข่ายเก่าและใหม่ให้สามารถทำงานร่วมกัน

อุปกรณ์เครือข่าย

1. ฮับ (hub) เป็นอุปกรณ์ที่ทวนและขยายสัญญาณเพื่อส่งต่อไปยังอุปกรณ์อื่นให้ได้ระยะทางที่ยาวไกลขึ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลก่อนและหลังการรับส่งและไม่มีการใช้ซอฟแวร์ใด ๆ มาเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ชนิดนี้ การติดตั้งทำได้ง่าย
2. โมเด็ม (modem) เป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาล็อก(Analog signal)ให้เป็นสัญญาณดิจิทัล (Digital Signal)และในทางกลับกันก็แปลงสัญญาณดิจิทัลให้เป็นสัญญาณอนาล็อก
3. การ์ด LAN (Network Interface Card – NIC) เป็นการ์ดสำหรับต่อเครื่องพีซีเข้ากับสาย LAN
4. สวิตช์ (Switching) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กระจายช่องทางการสื่อสารข้อมูลหลายช่องทางการสื่อสารข้อมูลหลายช่องทางในระบบเครือข่ายคล้ายHubแต่ต่างกันในเรื่องของกรทำงานและความเร็ว คือ แต่ละช่องสัญญาณ (port) จะใช้ความเร็วเป็นอิสระต่อกันตามมาตรฐานความเร็ว
5. เราท์เตอร์ (router) เป็นอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงให้เครือข่ายหลายเครือข่ายที่มีขนาดต่างกันหรือใช้มาตรฐานการส่งผ่านข้อมูล (Transmission) ต่างกันสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้

โปรโตคอล (Protocol)

โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงที่ใช้ควบคุมการสื่อสารข้อมูล

ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลชนิดเดียวกัน

ซึ่งสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้เหมือนกับมนุษย์ที่ใช้ภาษาเดียวกัน

ในการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันนั่น

องค์กรที่เกี่ยวข้องได้กำหนดโปรโตคอลที่เรียกว่า

มาตรฐานการจัดการระบบการเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างระบบเปิด

(Open System International :OSI)

ชนิดของโปรโตคอล

1.ทีซีพีหรือไอพี (TCP/IP)

2.เอฟทีพี (FTP)

3.เอชทีทีพี (HTTP)

4.เอสเอ็มทีพี (SMTP)

5.พีโอพีทรี (POP3)

การถ่ายโอนข้อมูล

1.การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน (Parallel transmission)

ทำได้โดยการส่งข้อมูลออกมาทีละ 1 ไบต์ หรือ 8 บิต จากอุปกรณ์ส่งไปยังอุปกรณ์รับ ตัวกลางระหว่างสองเครื่องจึงต้องมีช่องทางให้ข้อมูลเดินทางอย่างน้อย 8 ช่องทาง เพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านโดยมากจะเป็นสายสัญญาณแบบขนาน ระยะทางของสายสัญญาณแบบขนานระหว่างสองเครื่องไม่ควรยาวเกิน 100 ฟุต
2. การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม (Serial transmission)
การถ่ายโอนข้อมูลแบบนุกรม
อาจจะแบ่งตามรูปแบบรับ-ส่ง ได้ 3 แบบคือ
1) สื่อสารทางเดียว (simplex) ข้อมูลส่งได้ทางเดียวเท่านั้น บางครั้งก็เรียกว่า การส่งทิศทางเดียว (unidirectional data bus) เช่น การส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ การกระจายเสียงของสถานีวิทยุ เป็นต้น
2) สื่อสารสองทางครึ่งอัตรา (half duplex) ข้อมูลสามารถส่งได้ทั้งสองสถานี แต่จะต้องผลัดกันส่งและผลัดกันรับ จะส่งและรับพร้อมกันไม่ได้ เช่น วิทยุสื่อสารของตำรวจ เป็นต้น
3) สื่อสารสองทางเต็มอัตรา (full duplex) ทั้งสองสถานีสามารถรับและส่งได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การสนทนาทางโทรศัพท์เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การเหยียดเพศและการเหยียดเชื้อชาติอาจอิงอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน

        พฤติกรรมการเหยียดเพศ (sexism) และการเหยียดเชื้อชาติ (racism) เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจในสังคมยุคใหม่ที่ยอมรับความเท่าเทียมของมนุษย์ทุกคน แต่แม้ว่าคนเราจะแสดงความนิยมในความเสมอภาคมากเท่าไร ลึกๆ ในใจมันก็ต้องมีอคติอยู่บางอย่างด้วยกันทั้งนั้น อาจจะมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปตามแต่ละคน


ทีมวิจัยที่นำ        โดย Maite Garaigordobil แห่ง University of the Basque Country ในสเปน ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจากประชากรในแคว้น Basque จำนวน 802 คน อายุระหว่าง 18-65 ปีโดยการให้ตอบแบบสอบถามเพื่อวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างระดับความเป็น sexism และ racism กับลักษณะทางจิตวิทยาอย่างอื่น เช่น ความเชื่อมั่นในตัวเอง บุคลิกภาพ มุมมองที่มีต่อตนเองและผู้อื่น เป็นต้น


        ผลปรากฏว่าคนที่เป็น sexist มีแนวโน้มที่จะยอมรับลำดับชนชั้นและความไม่เท่าเทียมในสังคม มักคิดว่าคนในแต่ละลำดับชั้นได้รับในสิ่งที่เขาสมควรได้รับอยู่แล้วและชนชั้นที่พวกเขาอยู่คือชนชั้นที่ดีที่สุด คนที่เป็น sexist ยังแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจคนในเชื้อชาติหรือวัฒนธรรมที่ต่างจากตนเองน้อยกว่าคนที่ไม่ได้เป็น sexist ด้วย หรือพูดง่ายๆ ว่าคนที่เป็น sexist มักมีลักษณะที่คาบเกี่ยวกับพฤติกรรมการเป็น racist


       แต่ว่า sexism เองก็ไม่ได้มีความคิดในแง่ร้ายไปเสียหมด การเหยียดผู้หญิงว่าเป็นเพศที่ต่ำกว่าผู้ชายเป็นแนวคิดแบบที่เรียกว่า "hostile sexism" ส่วนการเห็นว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ สมควรได้รับการปกป้อง ถูกจำกัดความไว้ว่าเป็น "benevolent sexism" (นี่เป็นเรื่องที่เฟมินิสต์คนดังหลายคนในประเทศไทยไม่เคยเข้าใจเลย คุณเธอเหล่านั้นเรียกร้องสิทธิสตรีพร้อมกับเชิดชู benevolent sexism โดยไม่กระดากปาก ซึ่งผมเห็นว่ามันไร้ตรรกะมาก)


        นอกจากนี้นักวิจัยยังพบอีกว่าความเป็น sexist ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นในตนเอง (self-esteem) ต่างจากทฤษฎีที่เคยเชื่อว่าคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำจะเป็น sexist และ racist เนื่องจากต้องการใช้ความรู้สึกเหนือกว่าอะไรสักอย่างมาปิดกลบปมด้อยในใจตนเอง



       แต่น่าแปลก ผลการวิจัยกลับชี้ว่าคนที่เป็น hostile sexist จะมีทัศนคติในการมองตนเองที่เน้นย้ำถึงความแตกต่างทางเพศ ถ้าเป็นผู้ชายก็จะเชิดชูว่าเพศชายของตัวเองคือเพศที่กล้าหาญ แข็งแรง มั่นใจ มุ่งมั่น ฯลฯ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะมองเพศหญิงของตนเองอย่างดูถูกว่าเป็นเพศที่ขาดความอดทน ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไร้หัวใจ บริหารงานไม่เป็น ฯลฯ ส่วนคนที่เป็น benevolent sexist กลับบรรยายตัวเองด้วยคำที่แสดงถึงความเป็นโรแมนติกแบบผู้หญิงหน่อยๆ เช่น เป็นคนอบอุ่น เป็นมิตรกับคนอื่นง่าย เป็นต้น


       

Maite Garaigordobil เน้นว่างานวิจัยนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างทัศนคติความเท่าเทียมระหว่างเพศในระบบการศึกษา มิฉะนั้นผู้หญิงที่มีแนวคิด hostile sexism ก็จะเก็บกด ไม่สามารถดึงศักยภาพของตนเองมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ส่วนผู้ชายก็จะมีความคิดกดขี่เพศหญิงต่อไป





วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การเหยียดสีผิว

 ปัญหาการเหยียดสีผิวและเชื้อชาติเป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นทุกที่ในโลกมาเป็นระยะเวลานาน และยากต่อการแก้ไข แม้ปัจจุบันปัญหานี้จะลดความรุนแรงลงจากอดีตมาก  แต่การเหยียดสีผิวก็ยังคงมีอยู่ในสังคมทั่วทุกมุมโลก

                หนังสือเรื่อง Racial and Ethics Relation in America ได้สะท้อนให้เห็นภาพความโหดร้ายชิงชังของชาวอาณานิคมอเมริกันที่ขับไล่ชนพื้นเมืองดั้งเดิมออกไปจนสุดฝั่งมหาสมุทรตะวันตก พร้อมๆกับการกีดกันคนเชื้อสายอื่นทั้งแอฟริกา เอเชีย ให้อยู่ในฐานะพลเมืองชั้นสอง

                ไม่เฉพาะแต่อเมริกาเท่านั้นที่ในอดีตมีปัญหาการเหยียดสีผิวอย่างรุนแรง  แม้แต่ในแอฟริกาก็เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นเช่นเดียวกัน แม้ว่าคนพื้นเมืองดั้งเดิมจะเป็นเจ้าของพื้นที่และได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่มาก่อน แต่การล่าอาณานิคมของคนผิวขาวในยุคแสวงหาอาณานิคมทำให้ชนพื้นเมืองดั้งเดิมต้องกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง  ต้องยอมปฏิบัติตามและตกอยู่ภายใต้การกดขี่ของผู้มาใหม่ทุกประการ ภายหลังเมื่อแอฟริกาใต้ได้รับเอกราชจากอังกฤษและฮอลแลนด์แล้ว  ชาวแอฟริกันก็ยังต้องอยู่ภายใต้การปกครองของคนขาวในฐานะประเทศเอกราชในเครือจักรภพอังกฤษ ด้วยเหตุที่คนขาวมีความรู้ความสามารถมากกว่าจึงใช้อำนาจที่มีกดขี่ข่มเหงคนผิวดำด้วยนโยบายที่ควรได้รับการประณามมากที่สุดนโยบายหนึ่งที่มีชื่อว่า นโยบายการแบ่งแยกสีผิว (Apartheid)

                 การแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบภายใต้กฎหมายหลายฉบับที่มีผลในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพแทบทุกด้านของชาวแอฟริกาใต้ กฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า Group Areas Act มีข้อบังคับให้คนที่ไม่ใช่คนผิวขาว (Non-whites) ต้องย้ายออกไปอยู่ในดินแดนห่างไกลที่รัฐบาลคนผิวขาวได้กำหนดไว้ โดยกันพื้นที่ที่มีความเจริญและมีสิ่งสาธารณูปโภคไว้สำหรับชนผิวชาวเท่านั้น กฎหมายนี้สร้างความเดือดร้อนอย่างมากให้กับคนผิวดำเพราะต้องเดินทางไกลเพื่อ มาทำงานแลกค่าแรงขั้นต่ำในเขตของคนขาว


                 กฎหมายที่มีชื่อว่า Population Registration Act ได้กำหนดให้ผู้ที่อยู่อาศัยในแอฟริกาใต้ต้องมาจดทะเบียนจำแนกตามเชื้อชาติ ของตน มีสี่กลุ่มใหญ่ๆคือ กลุ่มคนขาว(White) กลุ่มคนดำ(Black) กลุ่มคนผิวสี(Coloured) และกลุ่มคนเอเชีย(Asian) กฎหมายฉบับนี้จะจำกัดและกำหนดสิทธิทางสังคม สิทธิทางการเมือง สิทธิในการได้รับบริการจากรัฐและบริการทางการแพทย์ โอกาสทางการศึกษาและสถานะในการทำธุรกิจโดยสิทธิที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับกลุ่มเชื้อชาติที่พวกเขาสังกัดอยู่และเป็นที่แน่นอนว่าภายใต้กฎหมายฉบับนี้คนที่ ไม่ใช่คนขาว (Non-whites) ก็จะต้องเป็นผู้ที่ถูกลิดรอนสิทธิต่างๆมากที่สุด
                
                The Separate Representation of Voters Act No. 46 เป็นกฎหมายที่มีการบังคับใช้ในปี 1951 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับเพื่อจำกัดสิทธิทางการเมืองของคนผิวดำกล่าวคือ เพื่อไม่ให้คนดำได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนของตนในสภานั่นเอง  ซึ่งภายหลังได้ถูกยกเลิกนำมาซึ่งการตั้งพรรคการเมืองของคนผิวดำ เช่น The African National Congress (ANC)

                 ส่วนTerrorism Act No 83 of 1967 เป็นกฎหมายที่ว่าด้วย การป้องกันการก่อการร้ายแต่กลับถูกนำมาใช้ในการปราบปรามคนดำที่ไม่เห็นด้วยกับกฎข้อบังคับหรือคำสั่งของรัฐบาลคนผิวขาว โดยกฎหมายระบุว่าหากผู้ใดกระทำการใดๆที่อาจเชื่อได้ว่าเป็นการผ่าฝืนต่อกฎหมายหรือคำสั่ง ผู้นั้นจะต้องถูกจับไปกักขังไว้โดยไม่มีกำหนดเวลาและโดยไม่ต้องผ่านกระบวน การยุติธรรมตามกฎหมาย (to be detained for an indefinite period without trial)

                 นโยบายการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มคนผิวดำ เป็นอย่างมากและกลายเป็นชนวนเหตุของการประท้วง การต่อต้านและจลาจล แต่สิ่งที่น่าสลดใจก็คือรัฐบาลคนผิวขาวตอบแทนกลุ่มผู้ประท้วงด้วยการใช้ กำลังตำรวจเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง(police brutality) มีการจับตัวกลุ่มผู้ประท้วงไปกักขังโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม มีการทรมานนักโทษตลอดจนการห้ามการรวมกลุ่มของคนผิวดำที่รูปแบบขององค์กร ต่างๆ อาทิ the African National Congress, the Black Consciousness Movement, the Azanian People's Organisation, the Pan Africanist Congress, and the United Democratic Front.


                  นอกจากนี้เรื่องที่ไม่อาจมองข้ามอีกเรื่องหนึ่งในประเด็นการแบ่งแยกสีผิวก็คือ การเหยียด สีผิวรวมถึงชาติพันธุ์ในเกมฟุตบอล

                   ปัจจุบัน เกือบทุกสโมสรฟุตบอลในระดับลีกสูงสุดของอังกฤษล้วนแต่มีนักฟุตบอลผิวสี และต่างชาติพันธุ์เข้าร่วมและยกระดับมาตรฐานการเล่นฟุตบอลในอังกฤษให้ดียิ่งขึ้น
               
                 นักฟุตบอลผิวดำคนแรกของเกาะอังกฤษ Arthur Wharton เซ็นสัญญาเข้าเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสร Darlington FC ในปี ค.ศ.1889 หรือราวร้อยกว่าปีที่แล้ว   แต่ทว่าการเหยียดผิวในเกมกีฬาชนิดนี้ยังไม่เคยหมดสิ้นไป

                   จาก Wharton จน ถึงปัจจุบัน นักฟุตบอลผิวสีในอังกฤษได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในเชิงลูกหนังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันนักฟุตบอลผิวสีในอังกฤษมีจำนวนมากกว่า 25% ของทั้งหมด   แต่จากการสำรวจของเบียร์ Carling ผู้สนับสนุนการแข่งขันของ Premier League ใน ฤดูกาลที่ 1993/94 พบว่ามีเพียง 1% ของแฟนบอลที่ไม่ใช่ "คนผิวขาว" จึงเป็นเหตุผลประการหนึ่งที่เรามักจะเห็นคนผิวขาวหัวรุนแรง รุมร้องรำทำเพลง ยั่วยุ เสียดสีนักเตะผิวสีอยู่เนืองๆ

                    เพลง เชียร์ที่มีท่วงทำนองและเนื้อหาดูถูกและเหยียดสีผิว มักได้ยินบ่อยครั้งในสนามฟุตบอล ในยุคทศวรรษที่ 1970 และ 1980 แฟนบอลผู้นิยมการเหยียดผิวข้างสนามชอบที่จะทำเสียงแบบ "ลิง" เพื่อล้อเลียนยั่วยุนักเตะผิวสีในสนาม

                    ค่านิยม "ขวาจัด" ของกลุ่มแฟนบอลในอังกฤษมีมาเกือบทุกยุคทุกสมัย เริ่มตั้งแต่ในทศวรรษที่ 1930 กลุ่ม British Union of Fascists ได้ทำร้ายแฟนลูกหนังชนชั้นกรรมชีพ จนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนมาถึงทศวรรษที่ 1970 ในอังกฤษ เหล่าแฟนบอลขวาจัด และเหล่าฮูลิแกน ต่างก็สร้างปัญหาให้กับเกมกีฬานี้ โดยกลุ่มที่เคลื่อนไหวสำคัญคือกลุ่ม The National Front (NF) พวกเขาได้ออกนิตยสาร Bulldog ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับความบันเทิงและฟุตบอล แน่นอนว่ามีเนื้อหา "การเหยียดสีผิว-ชาติพันธุ์" แฝงอยู่ในนั้นด้วย ขาประจำของ Bulldog มีทั้งแฟนทีมต่างสโมสรต่างๆ ทั่วอังกฤษ ประโยคบรรยายสรรพคุณอย่างหนึ่งของนิตยสารที่ว่า "most racist ground in Britain' ได้กลายเป็นสโลแกนของแฟนทีม West Ham, Chelsea, Leeds United, Millwall, Newcastle United และ Arsenal ซึ่งในขณะนั้นถือว่ามีค่านิยมขวาจัดแข็งแกร่งที่สุดกลุ่มหนึ่งในหลายสโมสรของอังกฤษ

                 เข้าสู่ยุคทศวรรษที่ 1990 ความพยายามแรกในการยับยั้งการเหยียดผิวและชาติพันธุ์ที่เป็นรูปธรรมของอังกฤษก็เกิดขึ้น การร้องเพลงล้อเลียน เสียดสี ที่เกี่ยวกับการเหยียดผิวและชาติพันธุ์ ในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในอังกฤษ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการเหยียดผิวและชาติพันธุ์ ผ่านท่วงทำนองการเชียร์ฟุตบอลได้ เนื่องจากการลงโทษปัจเจกชนทำได้ยาก ทั้งจากเรื่องการหาหลักฐานและเจาะจงหาผู้กระทำผิด เพราะบนอัฒจันทร์ที่คละเคล้าไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา

                จะเห็นได้ว่าการเหยียดสีผิวเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อกำหนดความเหนือกว่าหรือด้อยกว่าบนพื้นฐานของสีผิวและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของมนุษย์  นอกจากนี้แต่ละประเทศมักยึดถือประวัติศาสตร์ที่สอนต่อๆกันมาเพื่อสร้างความชอบธรรมรองรับพฤติกรรมในอดีตของตนโดยไม่คำนึงว่าแท้ที่จริงแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนแต่เป็นพี่น้องชาติพันธุ์เดียวกัน  มนุษย์ทุกคนย่อมมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จึงควรได้รับการเคารพและปฏิบัติอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน  การเหยียดสีผิวเพื่อแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างกันจึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ทุกคนพึงมีอย่างหนึ่งและหากเอาใจเขามาใส่ใจเราสักนิดคิดว่าถ้าเราได้รับการเลือกปฏิบัติเช่นนั้นเราจะรู้สึกเช่นเดียวกับพวกเขาเหล่านั้นหรือไม่  ปัญหาการเหยียดสีผิวก็คงจะหมดไปจากโลกใบนี้ในที่สุด